ประเด็นสำคัญ
-
การเปิดแอร์ทั้งวันช่วยประหยัดค่าไฟได้มากกว่าการเปิดปิดแอร์บ่อย ๆ เพราะว่าแอร์จะทำงานหนักในช่วงที่เพิ่งเปิด เพื่อระบายความร้อนสะสมในห้องออกไป
-
ถ้าชอบเปิดแอร์ทั้งวันควรจะปิดประตูหน้าต่างให้สนิท เพื่อป้องกันความร้อนเข้ามาในห้อง ควรจะตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม และอย่าลืมล้างแอร์เป็นประจำทุก 6 เดือนด้วย
อากาศร้อนไม่ไหว! อยากเปิดแอร์ทั้งวันให้เย็นฉ่ำจะเปลืองค่าไฟไหม หรือเปิดปิดแอร์บ่อย ๆ จะประหยัดกว่าหรือเปล่า จระเข้จึงมีวิธีเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟ พร้อมด้วยคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการเปิดแอร์มาฝากกัน แถมยังมีเคล็ดลับมาฝากคนชอบเปิดแอร์ด้วย ถึงเปิดแอร์บ่อย ๆ ก็ดูแลรักษาเครื่องให้ใช้งานได้ยาวนานได้ จะต้องทำยังไงบ้าง ตามจระเข้ไปดูได้เลย!
คำถามยอดฮิตที่เจอบ่อยตอนเปิดแอร์ทั้งวัน
Q: 1. เปิดแอร์ทั้งวันเปลืองไฟไหม?
A: ไม่ต้องกังวลว่าเปิดแอร์ทั้งวันแล้วจะเสียค่าไฟเยอะกว่าเดิม เพราะที่จริงแล้วแอร์จะทำงานหนักแค่ช่วงที่เพิ่งเปิด เพราะเครื่องจะต้องกำจัดความชื้นและความร้อนในอากาศออกไป หลังจากนั้นก็จะทำงานเบาลง
ดังนั้นถึงเราจะเปิดแอร์ไว้ตลอดทั้งวันก็ไม่เป็นปัญหา และเพื่อให้เปิดแอร์แล้วเย็นฉ่ำ แบบไม่ต้องเสียค่าไฟเยอะ จระเข้มีทริกดี ๆ มาฝากกัน ได้แก่
ถ่ายเทอากาศก่อนเปิดแอร์
ภาพ: การเปิดแอร์ที่บ้าน
ถ้าเข้าห้องแล้วอากาศร้อนจัด อย่าเพิ่งคว้ารีโมทมาเปิดแอร์ทันที เพราะแอร์อาจจะต้องทำงานหนักเกินไป ควรเปิดประตูหน้าต่าง หรือพัดลมระบายอากาศก่อน เพื่อระบายอากาศร้อนจัดออกจากห้อง และยังช่วยอากาศเก่าในห้องถ่ายเทออกไปก่อน จะช่วยลดกลิ่นอับได้อีกทาง พอเปิดแอร์แล้วก็จะช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มที่แบบไม่หนักเกินไปนั่นเอง และอย่าลืมปิดประตูหน้าต่างให้สนิทก่อนเปิดแอร์ เดี๋ยวแอร์ออกจากห้องจะกลายเป็นเปลืองไฟกว่าเดิม
หลีกเลี่ยงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปล่อยความร้อน
ภาพ: การรีดผ้า
เตารีด ไดร์เป่าผม กาต้มน้ำร้อน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ปล่อยความร้อนออกมา ถ้าใช้ในห้องที่เปิดแอร์ จะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นทันที ส่งผลให้ค่าไฟแพงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้แอร์เย็นฉ่ำ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ในห้องจะช่วยได้เยอะ
อย่าเพิ่มความชื้นในห้อง
ภาพ: การตากผ้าในบ้าน
อีกหนึ่งวิธีการทำงานของแอร์ คือการกำจัดความชื้นในอากาศ ดังนั้นยิ่งความชื้นในอากาศเยอะ แอร์ก็ยิ่งทำงานหนักมากเกินไปด้วย ถ้ากลัวว่าค่าไฟจะขึ้น ก็ไม่ควรสร้างความชื้นในห้อง ไม่ว่าจะเป็นการตากผ้า ตกแต่งต้นไม้ในห้องเยอะไป หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่สร้างความชื้น ก็ควรเลี่ยงเพื่อให้แอร์ทำงานได้แบบพอดี ๆ
ทริกแนะนำ: สำหรับใครที่ต้องใช้เครื่องทำความชื้นก็อาจเปลี่ยนมาเปิดตามเวลา หรือวางเครื่องไว้คนละมุมกับแอร์ เพื่อให้แอร์ดูดความชื้นเข้าไปน้อยลง ช่วยเซฟค่าไฟและรักษาแอร์ได้อีกทางหนึ่ง
Q: 2. แล้วถ้าเปิดปิดแอร์บ่อย ๆ จะกินไฟกว่าจริงไหม?
ภาพ: การเปิดแอร์
A: คำถามนี้จระเข้ขอตอบเลยว่า “ใช่” เพราะอย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่าแอร์จะทำงานหนักในช่วงที่เพิ่งเปิดใหม่ ๆ ดังนั้นถ้าเราเปิดปิดแอร์บ่อย ๆ นอกจากจะไม่ประหยัดไฟแล้ว ก็ยังทำให้แอร์ทำงานหนักกว่าเดิม ที่สำคัญยังทำให้ตัวเครื่องพังเร็วขึ้นอีก ใครจะเปิดแอร์ก็ควรเปิดยาว ๆ จนห้องเย็น แล้วตั้งเวลาปิดไว้ วิธีนี้จะดีกับตัวเครื่องมากกว่าด้วย
Q: 3. ควรเปิดแอร์กี่ชั่วโมงถึงประหยัดค่าไฟ?
ภาพ: บิลค่าไฟบ้าน
A: สำหรับใครที่อยากรู้ว่าควรเปิดแอร์กี่ชั่วโมงประหยัดค่าไฟ คำถามนี้อาจจะไม่ได้มีคำตอบที่แน่นอน เพราะการทำงานของแอร์จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมโดยรวมตอนที่เราเปิดแอร์ เช่น
- ตำแหน่งของห้อง ถ้าห้องติดแอร์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกที่รับแดดบ่ายเต็ม ๆ ความร้อนก็จะสะสมอยู่ในห้องเยอะกว่า ตอนเปิดแอร์เครื่องก็จะทำงานหนักมากกว่าแอร์ที่อยู่ในห้องทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออกนั่นเอง
- ช่วงเวลาที่เปิดแอร์ แน่นอนว่าถ้าเปิดแอร์ช่วงเที่ยงบ่ายที่อากาศร้อนจัด เครื่องจะต้องทำงานหนักกว่าการเปิดแอร์ช่วงค่ำ แต่ถ้าอากาศร้อนมากการเปิดแอร์ทั้งวันก็จะช่วยประหยัดค่าไฟได้มากกว่า การเปิด ๆ ปิด ๆ
- สภาพอากาศ ถ้าจะให้เทียบว่าเปิดแอร์ช่วงหน้าร้อนกับหน้าหนาว ช่วงหน้าร้อนแอร์ก็ต้องทำงานหนักกว่าอยู่แล้ว เพราะอุณหภูมิสูงกว่า ไหนจะแสงแดดสุดร้อนแรง สภาพอากาศเลยเป็นอีกตัวแปรที่ทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน
“ทางที่ดีเพื่อให้ประหยัดไฟมากที่สุด ก็ควรเปิดแอร์ช่วงค่ำ โดยเปิดประตูหน้าต่างระบายความร้อนสะสมออกไปก่อน แล้วตั้งเวลาปิดแอร์ไว้ช่วงเช้า จะได้ช่วยประหยัดไฟและยังให้แอร์ได้พักเครื่องด้วย”
Q: 4. แอร์จะพังเร็วไหมถ้าเปิดทั้งวัน?
ภาพ: การตรวจสอบน้ำยาแอร์
A: ถึงแม้จะเปิดแอร์ทั้งวัน แต่แอร์จะไม่พังเร็วหากได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี อย่างไรก็ตามการเปิดแอร์ทั้งวันโดยไม่ดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลเสีย เช่น คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกินไป ทำให้แอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น โดยปัจจัยที่ทำให้แอร์เสียเร็วขึ้น ได้แก่
- ไม่ล้างแอร์ สิ่งสกปรกและฝุ่นละอองที่สะสมในแผงคอยล์และฟิลเตอร์จะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น และอาจทำให้เกิดน้ำแข็งเกาะภายในเครื่อง จึงควรล้างฟิลเตอร์ทุก 2 สัปดาห์ และล้างแอร์ทุก 6 เดือน หรือบ่อยกว่านี้หากใช้งานเยอะ
- ตั้งอุณหภูมิต่ำไป การตั้งอุณหภูมิต่ำกว่า 23 องศาเซลเซียสตลอดเวลา จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานต่อเนื่องตลอดเวลา ทำให้แอร์ทำงานหนักและมีอายุการใช้งานสั้นลง ควรตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมที่ 25-27 องศาเซลเซียส
- ใช้แอร์ผิดขนาด ถ้าเลือกขนาด BTU ไม่เหมาะสมกับขนาดห้อง โดยเฉพาะแอร์ที่เล็กเกินไป แอร์จะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อทำให้ห้องเย็น ซึ่งอาจทำให้อายุการใช้งานลดลงตามไปด้วย
Q: 5. ทำไมแอร์ไม่เย็นแม้เปิดทั้งวัน?
ภาพ: แสงแดดจากภายนอก
A: ปัญหาเปิดแอร์ทั้งวันแล้วยังไม่เย็นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในแอร์และสภาพแวดล้อมในห้อง ซึ่งควรจะสังเกตดูให้ดีว่าต้นเหตุนั้นมาจากตรงไหน ถ้ายังไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน จระเข้รวบรวมแนวทางมาให้ดูกัน
ปัจจัยที่เกิดจากแอร์
- ฟิลเตอร์อุดตัน: ฟิลเตอร์แอร์ที่เต็มไปด้วยฝุ่นจะขวางการไหลเวียนของอากาศ ทำให้แอร์เย็นช้าหรือไม่เย็นเลย
- น้ำยาแอร์รั่ว: ปริมาณน้ำยาแอร์ที่ไม่เพียงพอ จะทำให้แอร์จะทำความเย็นได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ควรเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบทันทีเมื่อพบความผิดปกติ
- คอมเพรสเซอร์ทำงานผิดปกติ: คอมเพรสเซอร์ทำหน้าที่หลักในการทำความเย็น หากเกิดปัญหา เช่น เสียงดังผิดปกติ หรือทำงานไม่สม่ำเสมอ อาจส่งผลให้ห้องไม่เย็นได้
ปัจจัยที่เกิดจากสภาพแวดล้อม
- ห้องโดนแสงแดดทั้งวัน: ห้องฝั่งทิศตะวันตกที่โดนแดดตลอดทั้งบ่ายถึงเย็น หรือห้องที่มีหน้าต่างเยอะ มักจะมีความร้อนสะสมอยู่เยอะ ทำให้แอร์ทำงานหนักและเย็นช้าลง
- เปิดประตู-หน้าต่างบ่อย ๆ: การเข้าออกห้องบ่อย ๆ ก็อาจทำให้อากาศร้อนจากภายนอกเข้ามาในห้องได้ตลอด แอร์จึงต้องทำงานหนักและทำความเย็นได้ไม่ดีเท่าที่ควร
- ตำแหน่งแอร์ไม่เหมาะสม: หากติดตั้งแอร์ไว้ในมุมอับ หรือใกล้กับอุปกรณ์ที่ปล่อยความร้อน อาจทำให้แอร์ทำความเย็นได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ควรติดตรงจุดที่แอร์กระจายลมได้ดี ไม่มีเฟอร์นิเจอร์กัน และไม่โดนความร้อนโดยตรง
สำหรับใครที่ชอบอากาศเย็นฉ่ำ ๆ อยากจะเปิดแอร์ทั้งวัน มาดูกันต่อว่าจะถนอมแอร์อย่างไรได้บ้าง ถึงจะใช้งานได้ยาวนาน ไม่ต้องเรียกช่างมาดูกันบ่อย ๆ
ถ้าอยากเปิดแอร์ทั้งวันจะถนอมเครื่องอย่างไรได้บ้าง?
1. ปิดประตูหน้าต่างให้สนิทก่อนเปิดแอร์
ภาพ: ควรปิดประตูหน้าต่างให้สนิทก่อนเปิดแอร์
หลังจากเปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศแล้ว ก่อนจะกดสวิตช์เปิดแอร์ ควรจะปิดประตูหน้าต่างให้สนิท เพื่อป้องกันอากาศร้อนเข้ามาในห้อง ที่ทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น แทนที่แอร์จะสร้างความเย็นจนคงที่แล้วตัดไฟ กลับต้องทำความเย็นไปเรื่อย ๆ จนไม่ได้พักสักทีนั่นเอง
เพราะความเย็นที่รั่วไหลออกผ่านประตู หน้าต่าง หรือรอยแยกต่าง ๆ รวมถึงความร้อนที่แทรกตัวเข้ามา จะทำให้แอร์ต้องทำงานหนักตลอดเวลา เพื่อชดเชยความเย็นที่สูญเสียไป ส่งผลให้ค่าไฟสูงขึ้นและยังทำให้แอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ถ้าบ้านไหนเปิดแอร์แล้วยังรู้สึกว่ามีไอร้อนเข้ามา ลองตรวจสอบได้ด้วยวิธีดังนี้
- ใช้มือสัมผัสตามขอบประตู-หน้าต่างว่ามีไอร้อนเข้ามาหรือไม่
- ใช้เทียนหรือกระดาษทิชชูทดสอบ โดยถือไว้ใกล้ขอบประตูหรือหน้าต่าง ถ้ากระดาษปลิวหรือเทียนสั่น แสดงว่ามีลมเล็ดลอดเข้ามา
- ปิดไฟในห้องแล้วดูว่ามีแสงลอดเข้ามาจากขอบประตูหรือหน้าต่างหรือไม่
2. ตั้งอุณหภูมิที่ 25 องศา เย็นสบายตัวกำลังดี
ภาพ: ปรับแอร์เป็น 25 องศา
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงชอบเปิดแอร์อุณภูมิต่ำ ๆ สัก 18-20 องศา ให้อากาศเย็นฉ่ำสะใจ ซึ่งการปรับแอร์แบบนี้ทำให้เครื่องทำงานหนักแบบสุด ๆ เห็นบิลค่าไฟแล้วแทบเป็นลม ลองเปลี่ยนมาปรับอุณหภูมิที่ 25 องศา ซึ่งเป็นระดับที่ร่างกายรับความเย็นได้แบบสบายตัว ถ้าร้อนหรือหนาวไปก็ปรับให้อยู่ในระดับ 24-28 องศา ก็จะเหมาะกับร่างกายที่สุด แถมยังเหมาะกับค่าใช้จ่ายในกระเป๋าด้วย
3. ทำความสะอาดแอร์เป็นประจำ
ภาพ: ควรถอดฟิลเตอร์แอร์มาล้างเป็นประจำ
เนื่องจากแอร์ทำงานด้วยการดูดอากาศร้อนเข้าไป แล้วเปลี่ยนให้ลมเย็น เราจึงควรทำความสะอาดแอร์กันเป็นประจำ เพราะยิ่งเปิดแอร์ทั้งวันกันบ่อย ๆ ตัวเครื่องก็จะดูดฝุ่นสิ่งสกปรกเข้าไปมากขึ้นเท่านั้น โดยส่วนประกอบที่ไม่ควรมองข้าม ได้แก่
- ฟิลเตอร์แอร์ ควรถอดฟิลเตอร์มาล้างอย่างน้อยเดือนละครั้ง ขึ้นอยู่กับฝุ่นในบ้านด้วย ถ้าฝุ่นเยอะก็ควรล้างบ่อย ๆ เพราะฟิลเตอร์สะอาดจะช่วยให้แอร์ทำงานเต็มที่ ไม่มีฝุ่นสิ่งสกปรกไปอุดกั้น
- ล้างแอร์ นอกจากฟิลเตอร์ ควรเรียกช่างมาล้างแอร์ทุก 6 เดือน เพื่อให้ระบบคอยล์เย็นคอยล์ร้อนทำงานได้เต็มที่ ไม่มีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตัน และยังเป็นการเช็กสภาพแอร์ด้วยว่ายังทำงานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่
4 เคล็ดลับเปิดแอร์ให้ประหยัดต้องทำอย่างไรบ้าง?
1. เปิดประตู หน้าต่างไว้ประมาณ 10-15 นาที ก่อนเปิดแอร์
ภาพ: พัดลมช่วยไล่อากาศร้อนได้
“ห้องไม่ร้อนเกิน แอร์ก็ทำงานได้เต็มที่ขึ้น”
ก่อนเปิดแอร์ทุกครั้ง การเปิดประตู หน้าต่างไว้ประมาณ 10-15 นาที หรือใช้พัดลมไล่อากาศร้อนภายในห้องออกไปก่อน เพื่อให้อุณหภูมิในห้องน้อยลง ไม่มีความร้อนสะสมมากเกินไป แอร์ก็จะทำงานน้อยลง เต็มประสิทธิภาพขึ้น และใช้พลังงานน้อยกว่าการเปิดแอร์ทันทีในห้องที่มีอากาศร้อนสะสมอยู่เยอะ
2. ใช้โหมดประหยัดพลังงาน
ภาพ: Eco mode
“คอมเพรสเซอร์ทำงานน้อยลง ก็ประหยัดไฟมากขึ้น”
การใช้โหมดประหยัด หรือ Eco Mode เป็นอีกวิธีเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟได้ง่าย ๆ เพราะโหมดนี้จะลดรอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ให้หยุดพักเป็นระยะ ๆ และใช้พลังงานให้ช่วงที่จำเป็นเท่านั้น และยังควบคุมอุณหภูมิให้สบายคงที่ไม่เร่งให้เย็นเกินไป ช่วยให้ประหยัดไฟได้ถึง 15-30% ที่สำคัญโหมดนี้ก็ยังทำให้แอร์เงียบลง ไม่ส่งเสียงรบกวนในเวลาพักผ่อนอีกด้วย
3. ใช้ม่านหรือมู่ลี่กันความร้อน
ภาพ: ม่านกันแสง
“ลดแสงและความร้อน แอร์ก็ทำงานได้ดีขึ้น”
แสงแดดและความร้อนที่ส่องเข้ามาในบ้าน เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้แอร์ทำงานหนักกว่าเดิม นอกจากจะต้องระบายความร้อนก่อนเปิดแอร์แล้ว ควรติดม่านหรือมู่ลี่กันความร้อนเพิ่มเติม โดยเลือกแบบที่กันแสงและรังสี UV หรือจะติดฟิล์มกรองแสงที่กระจกเพิ่มเติม ก็เป็นทางเลือกที่ช่วยลดความร้อนสะสมได้ดีเช่นกัน
4. ปิดแอร์ก่อนออกจากห้อง 30 นาที
ภาพ: การปิดแอร์
“เปลี่ยนมาปิดแอร์ล่วงหน้า ประหยัดไฟได้ดีขึ้นเยอะ”
เมื่อจะออกจากบ้าน ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยปิดแอร์ ลองเปลี่ยนมาปิดแอร์ล่วงหน้า 30 นาที ไอเย็นจะยังคงอยู่ในห้อง จะช่วยให้ประหยัดไฟได้ดีขึ้น ถ้ากลัวว่าจะร้อนเร็วหรือบรรยากาศจะอึดอัด ลองเปิดพัดลมเบา ๆ ก็ช่วยได้ดีไม่น้อย
สีจากวัตถุดิบธรรมชาติ ระบายความร้อนได้ดี ต้องสีจระเข้ สตุคกี้ พรีเมี่ยม
ภาพ: สีจระเข้ สตุคกี้ พรีเมี่ยม
ถึงจะเปิดแอร์ทั้งวันก็ไม่เปลืองไฟอย่างที่คิด และจะยิ่งประหยัดขึ้นไปอีก ถ้าเลือกสีทาบ้านที่ช่วยลดความร้อน ทำให้บ้านเย็นตามธรรมชาติ เซฟค่าไฟแบบจุก ๆ อย่าลืมเลือกใช้สีจระเข้ สตุคกี้ พรีเมี่ยม สีที่ผลิตจากหินปูนธรรมชาติ จึงมีคุณสมบัติระบายและถ่ายเทความร้อน ช่วยให้ลดอุณหภูมิในบ้านให้น้อยลง พอห้องร้อนน้อยลง แอร์ก็เย็นเร็วขึ้น ทำงานเบาลงไปเยอะ แถมยังมีจุดเด่นด้านอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น
- เป็นสีสร้างลายที่ช่วยตกแต่งบ้านให้มีเอกลักษณ์ สร้างลายหินอ่อนหรือปูนขัดมันได้ง่าย ๆ
- ไม่มีกลิ่นฉุนของสารระเหย (NON VOCs) และปราศจากสารก่อมะเร็ง (Formaldehyde)
- ดูดซับคาร์บอนไดออกไซต์ในระหว่างกระบวนการแห้งตัวของสี ป้องกันการเกิดเชื้อราและตะไคร่น้ำ
- เนื้อสีมีคุณสมบัติความเป็นด่างจึงผสานกับผิวปูนใหม่ได้ดี จึงไม่ต้องทาสีรองพื้นในกรณีที่พื้นผิวแข็งแกร่งอยู่แล้ว
- นวัตกรรมเทคโนโลยีกราฟีน ยึดเกาะพื้นผิวได้ดี มีความยืดหยุ่นตัวสูง ปกปิดรอยแตกร้าวขนาดเล็กได้ดี
- เนื้อสีหนา ปกปิดพื้นผิวได้ดี ไม่ต้องทาซ้ำหลายรอบ ช่วยให้ประหยัดเวลาและค่าแรงได้ดียิ่งขึ้น
- ไม่มีกลิ่นฉุน เปิดใช้งานได้เร็ว เข้าอยู่ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ใช้ได้ทั้งกับงานทาสีใหม่และงานซ่อมแซม
- เป็นสีที่ใช้เพิ่มคะแนนในการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED, WELL, TREE
ชมรายละเอียดและสั่งซื้อ สีจระเข้ สตุคกี้ พรีเมี่ยม
อยากได้ผลิตภัณฑ์จระเข้มาดูแลบ้าน ลองเข้าไปหาตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์กันได้ที่เว็บไซต์จระเข้ เพียงเลือกภูมิภาค จังหวัด และเขตหรืออำเภอ เพียงเท่านี้ก็จะรู้แล้วว่าร้านค้าแถวบ้านร้านไหนที่มีสินค้าคุณภาพรออยู่ หรือจะลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราดูก่อนก็ได้ ว่าจะเลือกผลิตภัณฑ์แบบไหนดี ให้ตอบโจทย์บ้านของเรามากที่สุด
จระเข้ ช้อปออนไลน์ได้แล้ววันนี้ สะดวก ง่าย ช้อปได้ทุกที่ทุกเวลา
ช่องทางการสั่งซื้อ | ลิงก์สำหรับการสั่งซื้อ |
---|---|
ช้อปผ่านเว็บไซต์ | |
ช้อปที่ Shopee | |
ช้อปที่ Lazada |